หนังสือชื่อ"เขาเรียกผมว่า คุณหมอผู้เปลี่ยนโลก"
เป็นเรื่องราวการทำงานการควบคุมป้องกันโรคเอดส์ด้วยการส่งเสริมการใช้ถุงยาง
ของ นพ.วิวัฒน์ โรจนพิทยากร
ก่อนอื่นผมต้องโทษตัวเองก่อน เพราะว่าเคยเจอหนังสือเล่มนี้เมื่อวางเเผงใหม่ๆ
พอเห็นชื่อเรื่อง ผมจัดลำดับเรตติ้งไว้ท้ายๆ
คือ ถ้าว่างเเละลดราคาเมื่อไหร่จะซื้อมาอ่าน
โดยที่ผมยังไม่ได้อ่านรายละเอียดข้างใน
จนเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ผมไปเข้าประชุมพัฒนาเเพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ผู้จัดได้นำหนังสือเล่มนี้มาเเจกฟรี โดยใส่ในเเฟ้มไว้รอเลย
ทำให้ผมได้มีเวลาอ่าน
เนื่องจากต้องอบรมผมจึงอ่านได้เพียงคำนำเเละสารบัญเท่านั้น
ซึ่งอ่านเสร็จ ผมรู้สึกเสียดายมากที่ไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้เเต่เเรก
เพราะเป็นหนังสือที่ดีมาก
จึงตั้งเป้าหมายไว้ว่า เสร็จการอบรมเมื่อไหร่จะอ่านรวดเดียวจบ
ใช่เเล้วครับ ตอนนี้ผมอ่านจบเเล้ว
อยากถ่ายทอด ทุกความประทับใจ เเต่คงทำไม่ได้
เพราะอย่างนั้น จะหมายถึงผมต้องลอกหนังสือมาทั้งหมดเป็นเเน่
ผมลองค้นในgoogle พบว่ามีคนได้วิจารณ์หนังสือเล่มนี้ไว้หลายท่าน
เเต่ขอลอกเอาเฉพาะของคนที่ใช้นามปากกากว่า"ขุนอรรถ" ก็เเล้วกัน
ลองอ่านคำวิจารณ์ของเขาดู เเล้วผมจะมาเขียนต่อท้ายอีกที.....................
"ขุนอรรถ"ได้เขียนถึงหนังสือเล่มนี้ไว้ดีเเล้ว
"ในร้านนายอินทร์ … ผมหยิบหนังสือ “เขาเรียผมว่า คุณหมอผู้เปลี่ยนโลก” ขึ้นอ่านแวบเดียว
ก็รู้ทันทีว่า นี่คือหนังสือที่ควรซื้อหามาอ่าน รวมถึงมีไว้ประดับชั้นวางหนังสือในบ้าน ข้างๆ หิ้งพระ
100% CUP หรือ 100% Condom Use Program เป็นโครงการที่เกิดขึ้นได้ความตั้งใจเล็กๆ
ของคุณหมอท่านหนึ่ง นามว่า นพ.วิวัฒน์ โรจนพิทยากร
– คุณหมอผู้เปลี่ยนโลก ด้วยเครื่องมือแพทย์ชิ้นเล็กๆ ที่เราเรียกกันติดปากว่า “ถุงยาง”
ถุงยางกับการป้องกันโรค ไม่น่าดึงดูดใจให้อ่าน
แต่ที่น่าสนใจตรงที่
คุณหมอท่านนี้ ทำอย่างไรให้ ผู้ซื้อ ผู้ขายรวมไปถึง หมอน้อย หมอใหญ่
และข้าราชการไทย ระดับ ซี 10 เปลี่ยนพฤติกรรมได้ …
แบบนี้ น่าสนใจชะมัด
พฤติกรรมคนซื้อ(บริการ)มักง่าย พอเครื่องติดก็คิดแค่จะ “ใส่” เวลานั้น
พวกเขาไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหม หรือหน้าอะไร ทั้
งที่รู้แก่ใจว่ากำลัง “เสี่ยง” – แต่มันหน้ามืด
ส่วนคนขายฯ เนื่องจากเป็นคนชั้นใต้ดิน
มีพฤติกรรมยอมสิ้น เพราะไม่มีสิทธิ์ ไม่มีเสียงจะพูดหรือบ่นอะไร
แค่ทำมาหากินวันต่อวันไป ได้เท่านั้น ขืนเรื่องมาก
ต้องยุ่งยากให้คนซื้อใส่โน่นนี่ คนซื้อเขาหันไปหาคนอื่น
ยืนอยู่ไม่ไกล แบบไม่ใส่ถุง ไม่เป็นไร … “เราก็อด”
การรณรงค์ให้ใส่หมวกกันน๊อค หรือ ขาดเข็มขัดนิรภัย แรกๆ ว่าทำยาก
แต่เพราะมีกฎหมายบังคับ และจับปรับง่าย
แต่ถ้า “ไม่ใช้ถุง” กฎหมายจะไล่จับอย่างไร
ส่วนคดีที่จับได้ตามกฏหมายเพราะขายประเวณี
ไมใช่ “ใส่ถุงไหมพี่ ไม่ใส่ผมจับ!”
เจ้าพนักงาน ข้าราชการ และคนในเครื่องแบบแทบทั้งหมด
มีพฤติกรรมเดิมๆ เพราะมองปัญหาเดิมๆ คิดแบบเดิมๆ
เหมือนกันทุกกระทรวงทบวงกรมและกอง
ทำนองว่า ค้ากามเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เมื่อเจอต้องจับให้ได้
“แต่นี่อะไร คุณหมอจะให้พวกเรา(ข้าราชการ)
เดินเข้าหาเจ้าของซ่องบาร์ และ หญิงบริการ
… สงสารน่ะสงสาร แต่เราทำอย่างนั้นไม่ได้”
หนักไปกว่านั้น คุณหมอมักโดนข้อกล่าวหา
ว่าแทนที่จะส่งเสริมศีลธรรมอันดี
ไม่ให้มีอะไรกุ๊กๆ กิ๊กๆ นอกบ้าน
แต่นี่อะไร ศีลข้อ 3 ยังไม่มี
ศีลข้อ 4 ยังไม่ต้องถามหา
คุณหมอก็เดินรี่ ไปบอกใครๆ
“จะซื้อได้ จะขายก็ตามใจ ขออย่างเดียว กรุณาใส่ถุง”
– ชาวพุทธอย่างเรา ไม่ย้อม ไม่ยอม
เห็นหรือยัง พฤติกรรมของคนธรรมดาว่าเปลี่ยนยากขนาดไหน
แต่นี่คุณหมอทำงานด้วยปัญญา
รู้ว่า คนแบบไหนหน้าบางกลัวอับอาย
และกับคนหน้าหนาต้องกดดันมันเข้าไปด้วยตำรวจ
คุณหมอวิวัฒน์ ทำงานใหญ่แบบนี้สำเร็จลงได้
จากที่คนไทยเป็นเอดส์นับล้าน
เหลือเพียงไม่กี่รายการระดับ “หมื่นสองหมื่นต่อปี”
เรื่องยังไม่จบ เมื่อโครงการและคู่มือ 100% CUP
ประสบความสำเร็จในไทย
คุณหมอวิวัฒน์ ยังถูกร้องขอให้ไปเผยแพร่ในประเทศต่างๆ
อย่าง กัมพูชา พม่า จีน มองโกเลีย ฟิลิปปินส์ พม่า ลาว …
“ระยะทางยังอีกยาวไกล” คุณหมอว่า
เรื่องใหญ่ๆ แบบนี้ ทำไมคนไทยไม่มีใครรู้ …
ผมคิดว่า คงมีสัก 2 เหตุผล
คือ เพราะคุณหมอไม่ใช่นักโฆษณา(ตัวเอง)
และ อีกอย่าง คงเพราะเรื่องแบบนี้
ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ไม่ได้ ก็เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ
และไม่ค้ากาม จะให้รัฐบาลออกตัวมาก … ไม่ได้
– แก้ยากจริงเชียว อ้ายพวกนี้
เผอิญมีหนังสือชื่อ Influencer
รวบรวมผลงานของ “ผู้มีอิทธิพล”
สามารถแก้ไขปัญหาระดับโลกด้วยการใช้อิทธิพล
ในการเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์นับล้าน
… 100% CUP เป็นหนึ่งในโครงการ
ได้รับคัดเลือกให้บรรจุเอาไว้ใน Influencer เล่มหนา
อ่านจนจบจึงรู้ว่า “เล่าก็ยาก ย่อก็ยาก”
เพราะทุกขั้นตอนคล้ายการลองผิดลองถูกของคุณหมอ
จากนั้นจึงนำมาเขียนต่อ
แบบทำไปเล่าไป ดังนั้น ทั้งวิธีคิดและวิธีการทั้งหมดจึงอยู่ในหนังสือ
“เขาเรียผมว่า คุณหมอผู้เปลี่ยนโลก” เล่มนี้ แบบที่ต้องค่อยๆ อ่านเอาเอง !
เอาเถอะ เพื่อไม่ให้อารมณ์ค้าง มีหนึ่งในเหตุการณ์
ซึ่งพอจะบอกได้ประมาณว่า เหตุใด โครงการ 100% CUP สำเร็จได้
คงเพราะสไตล์การทำงานแบบนี้ …
กาลครั้งหนึ่ง เมื่อโครงการ 100% CUP ต้องเดินทางไปแก้ไขปัญหาถึงเมืองจีน
แต่ระหว่างการประชุมเพื่อขอความร่วมมือ
ตำรวจจีนสะบัดหน้าและบั้นท้าย
แล้วบอกว่า “การค้าประเวณีเป็นเรื่องผิดกฎหมาย เห็นเป็นไม่ได้ – ต้องจับ”
คุณหมอยิ้มๆ แล้วถามกลับไปแบบขำๆ
“เห็นด้วยครับ ส่วนที่ต้องจับก็จับกันไป
แต่ ขอถามหน่อย สมมุติ เมื่อคืนผมไปเที่ยวบาร์
มีสาวคนหนึ่งพูดกันถูกคอ จึงพากันมาต่อที่โรงแรม
แบบนี้ผิดไหม”
“ไม่ผิด” ตำรวจตอบ
“โอเค ถ้าตื่นเช้ามา ก่อนแยกย้าย
ผมจ่ายเงินให้เธอจำนวนหนึ่ง แบบนี้ผิดหรือไม่ผิด”
“การจ่ายเงินตอบแทนหลังมีเพศสัมพันธ์ เป็นความผิด ต้องถูกจับกุม”
“อย่างนั้น ถ้าผมแอบเอาเงินใส่ในกระเป๋าให้
โดยที่เธอไม่รู้ล่ะ ผิดหรือเปล่า”
“…” ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ได้แต่กระพริบตา ไม่ตอบอะไร
“ก็ได้ครับ แล้วถ้าผมจ่ายเงินเพียงเล็กน้อยให้เธอเป็นค่ารถกลับที่พัก แบบนี้ผิดไหม”
“ไม่ผิด” พวกตำรวจ(จีน)มองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนตอบ
“นั่นยังไง” คุณหมอจึงชี้ให้เห็นว่า
การตรวจสอบเรื่องนี้ก็ลำบากมาก
หลักฐานก็ไม่มี แอบถ่ายวีดีโอเก็บไว้ก็ไม่ได้
แล้วจะจับกุมอย่างไร ปัญหาไหนปราบได้ต้องปราบ
แต่อะไรยังห้ามไม่ได้ ก็ต้องปราม
แล้วอย่ามองข้ามปัญหาอย่างเอดส์โรคร้าย
อย่าให้ระบาดหนัก ทำร้ายลูกหลานอยู่แบบนี้ (
ภายหลัง ตำรวจจีนจึงยินยอมให้ความร่วมมือ)
คงเป็นอย่างที่หนังสือ Influencer ว่าไว้
“พฤติกรรมทุกอย่างของมนุษย์ล้วนเปลี่ยนแปลงได้ทั้งสิ้น เพียงแต่ขอให้รู้วิธีการว่าต้องทำอย่างไร”
– คนเดียว อันเดียว แท้ๆ
เปลี่ยนโลก หรือ “เปลี่ยนไทย” กันดีครับ ?
ขุนอรรถ "
สำหรับผม ไม่มีความรู้จักเป็นการส่วนตัวกับคุณหมอวิวัฒน์
ถึงเเม้จะมาทำงานในกรมเดียวกับที่คุณหมอเคยทำ
เพราะหากนับช่วงเวลาเเล้ว ช่วงที่ท่านดำเนินโครงการ
ผมเป็นเพียงเด็กประถมเท่านั้นเอง
ตอนเเรกที่ผมไม่ได้อ่าน
เเละเป็นความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของผมคือ
ผมเเอบคิดว่า คนเขียนหนังสือเกี่ยวกับตัวเอง
คนเขียนก็ต้องเขียนให้ตัวเองเป็นพระเอกซิ (หว่ะ)
เหมือนพวก ดาราที่ฮิตออกพ็อกเกตบุ๊คอยู่ระยะหนึ่ง
ผมจึงต้องถามกับพี่ๆที่ทำงาน
ซึ่งเคยทำงานร่วมกับคุณหมอวิวัฒน์มาว่าเป็นอย่างไร
คำตอบยิ่งทำให้ผมรู้สึกมั่นใจกับความรู้สึกที่ดีที่มีต่อการทำงานของอาจารย์
ว่าอาจารย์ทำงานเช่นนั้นจริงๆ
เเละเป็นคนที่มีความคิดนอกกรอบ
สรุปตอนนี้ผมค่อนข้างมั่นใจกับความรู้สึกดีๆที่ผมมีต่อหนังสือเล่มนี้เเล้วครับ!!!
ผมขอยกประเด็นที่ท่านได้กล่าวไว้เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ต่อไปคือ
"อีกสิ่งหนึ่งก็คือ ผมไม่ค่อยมองปัญหาเหมือนคนอื่นๆ เวลามีปัญหา ถ้าปัญหานั้นเเก้ไม่ได้ ผมจะมองว่านั้นไม่ใช่ปัญหา เเต่คือสถานการณ์ เเล้วจากนั้นก็มองหาช่องว่า ในสถานการณเเบบนั้นเราจะเเก้ปัญหาอย่างไร สถานการณ์อย่างนั้น เราจะเเก้ปัญหาอย่างไร เเล้วมาตรการใดบ้างที่เหมาะกับสถานการณ์นั้นๆ............เราจึงจะเเก้ปัญหาตรงจุด"
ผมว่าตรงนี้ค่อนข้างชัดเจนเเล้ว คงไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่ม
เรื่องที่สอง คุณหมอวิวัฒน์ต้องเผลิญกับเเนวต้านต่างๆมากมาย
เช่น การไม่ไดรับความร่วมมือจากคนที่ทำงานในกรมเดียวกัน
เเต่ก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร
เเค่บอกว่า "โครงการนี้ทำยาก"
เเล้วใส่เกียร์ว่างเท่านั้นเอง
คุณหมอต้องตระเวณไปทั่วประเทศทั้งบรรยายขายไอเดีย
ทั้งล็อบบี้ผู้ใหญ่ต่างๆนานา เเต่ทุกอย่างก็สำเร็จมาได้
ในหนังสือ ผู้เขียนได้กล่าวชื่อจริงของตัวละครในเรื่อง
ผมลองเเบ่งคราวๆ
คือคนที่ยอมรับโครงการนี้หรือมีทัศนคติที่ดีกับการดำเนินโครงการนี้
ซึ่งมีการเจริญก้าวหน้าทั้งนั้น
ตรงกันข้ามกับอีกฝั่งอย่างชัดเจน
ถ้าว่าง อยากให้พี่ๆหาหนังสือเล่มนี้มาอ่านกันนะครับ
เเล้วผมจะมาเล่าเกี่ยวกับหนังสือ
"Influencer: The Power to Change Anything "
หนังสือที่ทำสถิติขายดีติดอันดับ TheNewYorkTimes
เเละหนังสือเล่มนี้ได้ยกคุณหมอวิวัฒน์เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการดำเนินเรื่องด้วย
.....ต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น