วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2553
นิยามของ "คนขี้บ่น"
เพราะขณะที่ไปรื้อตู้หนังสือเพื่อหาตำราเพื่อมาเตรียมเขียนโครงการ
ไปเจอหนังสือที่เคยอ่านเมื่อ 2 ปี ที่เเล้ว หล่นลงมา
หนังสือชื่อภาษาไทยว่า "ถามให้ถูก พูดให้เป็น"
เเปลมาจาก 'Water the Flowers Not the Weeds'
(ให้รดน้ำต้นไม่ ไม่ใช้รดวัชพืช)
ผู้เเต่ง Fletcher Peacock
ผู้เเปล เริง เจริญ
เป็นหนังสือเกี่ยวกับการสื่อสารเเละด้านความสัมพันธ์
เเละลองเปิดดูว่า เราอ่านหรือยัง เปิดไปเจอหัวข้อนี้ "คนขี้บ่น"
เลยเเว็บขึ้นมาในความคิดว่า
เอามาเล่าดีกว่า เพื่อเกิดประโยชน์
เพราะผมรำคาญเหลือเกิน ทั้งทีจริงๆ ผมเองก็เป็นคนขี้บ่นกับเขาด้วยเหมือนกัน
ลองดูนะ.....
เขานิยาม ของ ผู้บ่นว่า......
ผู้บ่นคือ คนที่รู้ตนเองมีปัญหหา เเต่ ยังไม่รู้สึกอยากลงมือทำอะไร กับปัญหา !!!!
ความจริงในปัจจุบันของ"ผู้บ่น" คือ
เขาเป็นเหยื่อผู้ถูกกระทำที่น่าสงสาร
ซึ่งเขาไม่สามารถช่วยตัวเองได้เลย
เขาจะพูดกับตนเองว่า
"ตัวเราไม่มีอะไรเลย เราไม่มีความสามารถ เราทำอะไรไม่ได้เลย"
ผมขอเสนอเท่านี้ก่อน เพราะหากลอกมาหมด
มันจะดูน่าเกลียด
ให้ไปหาซื้ออ่านเอาเองดีกว่า
หนังสือเขาดีจริงๆ
สำหรับผม ซึ่งตอนนี้ก็บรรลุวัตถุประสงค์เเล้วครับที่ได้กล่าวถึงนิยามของคนขี้บ่น
จากนี้ก็สุดเเล้วเเต่ที่ทุกท่านจะตีความว่า
อะไรคืออะไร
ผมไม่เขียนต่อเเล้ว
เพราะกลัวว่าจะถูกครหาว่าเป็น "คนขี้บ่น" กับเขาเหมือนกัน
หมอโรจน์
วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553
อย่าส่งเป็ดของคุณ ไปเข้าโรงเรียนนกอินทรี
งานสัมมนา John C. Maxwell, Live in Person,
Building the Leadership Team for Outstanding Results
จัดโดย ITD Group กลางเดือนมิถุนายน 2551
ณ โรงแรมแลนด์มาร์ค
ลองอ่านดูคงจะเข้าใจว่าหมายถึงอะไร........
อย่าส่งเป็ดของคุณ ไปเข้าโรงเรียนนกอินทรี
นี่ไม่ใช่คำขู่ แต่เป็นคำเตือนอย่างหวังดี
ของกูรูทางด้านการสร้างภาวะผู้นำอันดับ 1 ของโลก
“จอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์”
: เป็ดไม่สามารถไล่ตามงานของนกอินทรีได้ ยิ่งนานวันไปเป็ดก็จะยิ่งกระอักกระอ่วนใจ
ในกระบวนการทำงาน
: สัตว์ปีกทั้งสองชนิดนี้ มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องยังไงกับภาวะผู้นำ?
“คุณจะทำอะไรคนเดียวเพื่อตามล่าหาฝัน มันไม่มีวันสำเร็จได้
เพราะไม่ได้สร้างทีมขึ้นมารองรับ ฝันร้ายที่สุดของการเป็นผู้นำคือ
คุณมีฝันที่ยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีทีมงานที่ดี”
และการจะไปให้ถึงที่สุดของฝั่งฝันได้ ต้องขึ้นกับความสามารถของคนในทีม
อันเป็นที่มาของการบรรยายสดในหัวข้อ Building the Leadership Team for Outstanding Results เมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา (2551)
“เป็ดก็เป็นเป็ด นกอินทรีก็เป็นนกอินทรี ทุกคนเป็นตัวของตัวเอง”
สิ่งที่เขาพยายามกระซิบดังๆ ก็คือ เพราะฉะนั้นจงวางคนให้ถูกที่
กับภารกิจที่เขาต้องทำ
เรื่องราวของนกอินทรีกับเป็ด
ในรั้วโรงเรียนสอนธุรกิจการจัดการ
เป็นสัญลักษณ์การบริหารคนของผู้นำ
ที่คิดเป็น ทำเป็น รู้จักมองไปข้างหน้า และเริ่มต้นวางแผน
แม็กซ์เวลล์เปิดใจว่า ตลอดชีวิตของเขาเคยลงทุนกับเป็ดมาแล้วนับไม่ถ้วน
พยายามหัดเป็ดให้บินสูง พอมันบินสูงไม่ได้ ก็ร้อง “แควก แควก” ออกมา
ไม่ต่างจากคนที่เป็นเป็ด แล้วต้องไปแบกรับหน้าที่ของนกอินทรี
พอทำไม่ได้ ก็เริ่มตั้งต้นบ่นพรำ
เขาเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของเป็ดที่ทำเอาหลายคนอมยิ้ม...
มีขนมโดนัทยี่ห้อหนึ่งชื่อว่า คริสปี้แอนด์ครีม
เป็นขนมหวานมันหอมใหม่สดจากเตาร้อนที่ต้องเปิดไฟทำงานสีแดงเอาไว้
ถ้าลูกค้าเห็นสีแดงจะกรูกันเข้ามาซื้อ
เพราะนั่นหมายถึงสัญญาณจากพระเจ้าว่า
กำลังจะได้ลิ้มรสขนมอร่อยในไม่ช้านี้แล้ว
แต่ถ้าไม่เห็นสัญญาณไฟสีแดง
ลูกค้าส่วนใหญ่จะเดินผ่านไปโดยไม่สนใจ
ครั้งหนึ่งเขาได้ลิ้มชิมรสขนมมีรูจากหน้าเตานี้
โดยไม่มีสัญญาณสีแดง
แต่มันก็ยังอร่อยและบ่งบอกถึงรสชาติที่เพิ่งออกจากเตา
ก็เลยถามพนักงานขาย
คำตอบที่ได้ทำให้หัวใจเขาแทบหยุดเต้น
“ถ้าเปิดไฟสีแดงไว้ ลูกค้าจะแห่เข้ามาแล้วต้องขายดีเทน้ำเทท่า
ยิ่งขายดีมากก็ยิ่งเหนื่อย
สู้รีบทำรีบปิดไฟเสียดีกว่า
ลูกค้าจะได้ไม่แน่นร้าน
จนต้องทำงานเหนื่อยสายตัวแทบขาด”
เขาร่ำร้องอยู่ในใจ
“เธอคือเป็ดนั่นเอง ตัวที่ร้องแควก แควก
ตอนที่ต้องบินสูง เธอเป็นเป็ดมาขายโดนัท”
โอ้! พระเจ้า ผู้จัดการร้านจ้างเป็ดมาทำงานของนกอินทรี
ไม่ต่างอะไรกับการส่งเป็ดไปเข้าโรงเรียนผู้นำนกอินทรี
เหตุผลที่ไม่ควรส่งเป็ดไปเรียนร่วมห้องกับนกอินทรี
เขาบอกว่า ทำให้เกิดข้อคับข้องใจ
เพราะเป็ดไม่สามารถไล่ตามงานของนกอินทรีได้
ยิ่งนานวันไปเป็ดก็จะยิ่งกระอักกระอ่วนใจ
ในกระบวนการทำงาน
แม้แต่นกอินทรีเองก็อาจทำให้มีปัญหาในการบิน
เพราะแทนที่จะหัดบินจากบนลงล่างหรือล่างขึ้นบน
กลับไพร่จะหัดปีนขึ้นภูเขา ส่วนเจ้าเป็ดก็ถูกหัดให้วิ่งบนน้ำ
แทนที่จะได้ดำผุดดำว่าย
“เป็นการออกจากจุดแข็ง แล้วไปใช้จุดอ่อน ทำให้อึดอัดคับข้องใจ”
หลายครั้งเป็ดไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรเกินความสามารถ
แต่อินทรีจะรู้อยู่แก่ใจเสมอว่ามีเป็ดอยู่ในฝูง
ไม่ต่างอะไรกับกาในฝูงหงส์
ในสภาพแวดล้อมของผู้นำ
มีทั้งคนเก่งและคนไม่เก่งอยู่รอบตัว
หน้าที่ของคนที่มีภาวะผู้นำต้องรู้จักบริหารจัดการ
ต้องรู้ว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร เวลาพัฒนาคนต้องมีภาพอยู่ในใจว่า
จะพัฒนาแต่ละคนไปอย่างไร
แต่ละคนมีความสามารถเป็นทุนเดิมแค่ไหน
อย่าต้องพลาดโอกาสหากเราไม่รู้ว่า
ศักยภาพของคนมีแค่ไหน
เพราะบางเรื่องอาจมองเห็นช่องโหว่
เล็ดลอดออกมาจากขนมคริสปี้แอนด์ครีมโดนัท
“ผู้นำต้องสามารถประเมินและพัฒนาผู้คน
มีความสามารถในการพัฒนาตัวเอง พร้อมกับพัฒนาผู้อื่น”
สรุปได้ว่า ทุกคนต้องได้รับการพัฒนา
ให้มีความสามารถที่เหมาะสม
ทำให้เป็ดเป็น the best และอินทรีก็เป็น the best ด้วยเช่นกัน
ฝึกปรือทั้งคู่โดยไม่พยายามฝึกเป็ดให้เป็นนกอินทรี
แต่ถ้าเป็นเรื่องของฮิลลารี คลินตัน กับ บารัก โอบามา
บทวิเคราะห์บันได 5 ขั้นของภาวะผู้นำอาจเปลี่ยนไป
เพราะนี่เป็นเรื่องของนกอินทรี 2 ตัว
กับเป้าหมายต้องการไปให้ถึง
จุดสูงสุดของภูเขาลูกที่ชื่อว่า United States of America
แม็กซ์เวลล์ชี้ว่า
ในสายตาคนทั่วไปมองว่าฮิลลารีเป็นนกอินทรีปีกแข็งแรง
ที่จะไปถึงยอดเขาได้ก่อ น
ในภาพรวมทั้งสองคนเป็นผู้นำฝีมือดี
ไม่เกี่ยวกับว่าใครเก่งกว่าหรือดีกว่าอีกคน แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ
ระดับของภาวะผู้นำที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนไปสู่ความสำเร็จ
เขาเรียกระดับดีกรีนั้นว่า
แรงหนุนที่เป็นพลังแห่งความสำเร็จ
ฮิลลารีมั่นอกมั่นใจมากว่าเธอจะได้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐอเมริกา
เธอมีแรงหนุนที่จะนำพาไปได้
แต่เธอทำหายไป เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้นำเชื่อมั่นว่า
ตัวเองดีที่สุดแล้ว
อันตรายก็จะมาถึงตัว เพราะขาดการฝึกปรือเพื่อไปยืนอยู่ในสถานภาพที่ดีกว่า
ขณะที่โอบามาทำตัวเหมือนเป็นคนของประชาชน
คล้ายกับจอห์น เอฟ เคเนดี้ คุณลักษณะเด่นในความเป็นภาวะผู้นำของเขาคือ
การสร้างความเชื่อมโยงระหว่างความเป็นผู้นำกับผู้คน
เขาต่อติดกับคนหนุ่มสาว แล้วปลดปล่อยผู้คนให้เกิดความหวัง
“โอบามาสร้างจินตนาการสูงให้กับผู้คน มีความเป็นภาวะผู้นำสูง
หน้าที่ผู้นำต้องบริหารจัดการกับความหวัง แล้วนำความหวังนั้นมาสู่ความเป็นจริง”
คนที่เป็นผู้นำไม่จำเป็นต้องทำดีเกินไป
หรือเวลาไม่ดีขึ้นมาก็อย่าคิดว่าตัวเองต้องแย่แน่แล้ว
ผู้นำทุกคนมีข้อดีข้อเสียมากบ้าง น้อยบ้าง
คุณจะได้เครดิตมากเวลาทำได้ดี
แต่ก็ต้องยืดอกพร้อมรับคำวิจารณ์เวลาพลาดพลั้ง
เพราะมันเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์ ยังไกลตัว
แต่ก็ต้องทำให้จริงได้ในสักวัน
“อย่าส่งเป็ดของคุณ ไปเข้าโรงเรียนนกอินทรี”
นี่ไม่ใช่คำขู่
แต่เป็นคำเตือนอย่างหวังดีของจอห์น ซี. แม็กซ์เวลล์
แต่ถ้าเป็นโรงเรียนสอนซูเปอร์นกอินทรี
โดยเฉพาะกับอินทรีปีกแข็งอย่างฮิลลารีและโอบามาด้วยแล้ว
ดูเหมือนว่าเก้าอี้เกียรตินิยมอันดับ 1 จะเหลือว่างอยู่เพียงที่นั่งเดียว
ปล: ผมไม่ขอเป็นนกอินทรีหรือเป็นเป็ดดีกว่าครับครับ
ขอเป็นลูกไก่ตัวน้อยๆ น่ารักๆ สบายๆ ดีกว่าออก!!!
วันพุธที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2553
ตรวจประเมิน IC ที่คลินิกมาลาเรีย
1.ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม
2.นพ.พิสุทธิ์ ชื่นจงกลกุล
3.นางอรทัย บุญมาสุข
4.นางราตรี ทิตตเมธา
5.นางศุภาพัทธ์ มาดารัตน์
6.นางภัคนิษกานต์ ประดิษฐ์สุวรรณ
7.นางธิดา นิ่มมา
จังหวะเเรก ดูจุดต้อนรับผู้ป่วยก่อน
เก้าอี้ตัวนี้คลาสิกมากๆๆ
เพื่อนำเสนอข้อคิดเห็นเพื่อการปรับปรุง
ดูเครียดเชียว!!!
หมอท็อปมาด้วย
ภาพนี้ถ่ายขณะกำลังช่วยกันซักถาม
บรรยากาศสนุกสนามมาก
ตรวจไปหัวเราะไป
ก่อนกลับ ขอชักภาพซักบาน
เพื่อเป็นที่ระลึกว่าทุกอย่างโอเคเเฮบปี้
หรือเพิ่มจำนวนอ่างล้างมือ เป็นต้น
วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2553
พัฒนาเครือข่ายงานวัณโรค
วันนี้เป็นงานบรรยายครั้งเเรกของปี 53
ผมได้รับคำเชิญกระทันหันให้ไปสอนหนังสือ
ให้เจ้าหน้าที่คลินิกวัณโรคที่มารับงานใหม่
ของโรงพยาบาลต่างๆในเขตที่ผมรับผิดชอบ
ในหัวข้อเรื่อง
"การควบคุมโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล"
เป็นเรื่องที่ผมสบายๆอยู่เเล้ว
หากจะมีเวลาให้ผมได้เตรียมตัวสักนิด
ผมจึงต้องขุดคุ้ยหาไฟล์ที่เคยสอนเมื่อ 2 ปีที่เเล้ว
มาปัดฝุ่นใหม่
อาศัยว่าเคยทำเรื่องนี้ตอนอยู่ รพช
เเต่ความตื่นเต้นยังไม่จบเเค่นั้น
เมื่อผู้จัดมาขอให้นำสอนเรื่อง MDR-TB ด้วย
ก่อนเวลาบรรยายจริงเพียง 10 นาที
งานเข้า!!! ผมต้องรีบคุ้ยหาใน Notebook
จำได้ว่าเคยสอนเรื่องนี้อยู่ 2-3 ครั้งเมื่อปีที่เเล้ว
ด้วยบุญเก่า งานนี้ก็เเค่พอถูๆไถๆ ไปได้
มีเรื่องเหลือเชื่อ เนื่องจากNotebook ของผม
ปกติจะไม่สามารถใช้กับ LCD ที่ไหนได้
วันนี้มันสามารถใช้ได้ดีกับโรงเเรมนี้ งง!!!
ผมเริ่มบรรยายด้วยการทักทายผู้ฟัง
เเละต้องขอยืนพูด เนื่องจากผู้บรรยายเริ่มง่วงเเล้ว
หากนั่งมีโอกาสหลับไปบรรยายไปเเน่
เพราะกินอาหารกลางวันที่เขาเลี้ยงฟรีซะอิ่ม
ดูรูปเเล้วจะเห็นว่าผู้บรรยายตาปรือเเล้ว
พอบรรยายไปก็เริ่มเมื่อย ขอนั่งดีกว่า
ใกล้จบ ทำสายตาเชิญชวนให้ถาม เเต่ไม่มีคนถาม
เพราะบรรยายได้ดีมาก!!
บรรยากาศในที่ประชุม
ภาพถ่ายขณะที่ผู้บรรยายกำลังเดินออกจากห้องประชุม
งานวันนี้ ผมบรรยายฟรี เเต่ได้บุญ???
เเถมเสร็จเเล้วต้องเเวะซื้อกาเเฟสด ก่อนกลับสำนักงาน
มาทำงานต่อ
ดาราวัยรุ่นก็เงี้ย เดินสายเป็นว่าเล่น
วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553
ข้อคิด "ถังน้ำที่มีรอยแตก"
เรื่องมีอยู่ว่า......
ถังน้ำใบหนึ่งมีรอยแตก
ในขณะที่อีกใบหนึ่งไร้รอยตำหนิ
แต่ด้วยระยะทางอันยาวไกล จากลำธารกลับสู่บ้าน
จึงทำให้น้ำที่อยู่ในถังใบที่มีรอยแตกเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว
ซึ่งแน่นอนว่าถังน้ำใบที่ไม่มีตำหนิจะรู้สึกภาคภูมิใจ
ในขณะเดียวกันถังน้ำที่มีรอยแตก
มันรู้สึกโศกเศร้ากับการที่มันสามารถทำหน้าที่
วันหนึ่งที่ข้างลำธาร มันได้พูดกับคนตักน้ำว่า
'ข้ารู้สึกอับอายตัวเองเป็นเพราะรอยแตกที่ด้านข้างของตัวข้า
ทำให้น้ำที่อยู่ข้างในไหลออกมาตลอดเส้นทาง
คนตักน้ำตอบว่า
แต่กลับไม่มีดอกไม้อยู่เลยในอีกด้านหนึ่ง
และทุกวันที่เราเดินกลับ ...
เป็นเวลา 2 ปี ที่ข้าสามารถที่จะเก็บดอกไม้สวย ๆ
ถ้าหากปราศจากเจ้าที่เป็นเจ้าแบบนี้แล้ว ...
เราก็คงไม่อาจได้รับความสวยงามแบบนี้ได้'
แต่รอยตำหนิและข้อบกพร่องที่เราแต่ละคนมีนั้น
อาจช่วยทำให้การอยู่ร่วมกันของเราน่าสนใจ
สิ่งที่ต้องทำก็เพียงแค่ยอมรับคนแต่ละคนในแบบที่เขาเป็น
และมองหาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของพวกเขาเหล่านั้นเท่านั้นเอง
มองโลกหลายๆ ด้าน เพราะคนเราไม่ได้มีแต่ข้อเสียเท่านั้น
นิเทศวัณโรคเเบบบูรณาการ 15 มค 53
สำนักวัณโรค นำทีมโดยอาจารย์หมอนัดดา
อาจารย์หมอยุทธิชัยเเละคณะผู้นิเทศ
ได้กรุณามาเยี่ยมเยียนที่ สคร.8
เพื่อนิ้เทศงานวัณโรคอย่างบูรณาการ
วันนี้ทางคณะจะมานิเทศแบบบูรณาการ
ซึ่งเป็นนวัตกรรมการนิเทศในรุปแบบใหม่
ตามความเข้าใจของผม
หากเรามองการควบคุมวัณโรคเป็นภาพใหญ่ๆ
(สวยหรือเปล่าไม่ทราบ)
จิ๊กซอแต่ละชิ้นที่จะประกอบกันเป็นภาพสวยๆ
นั้นก็คือ ประเด็นที่สำคัญต่างๆของงานวัณโรค
เช่น การบริหาร NTP
การควบคุมในกลุ่มเป้าหมายต่างๆ
การที่วัณโรตไปยุ่งกับโรคอื่นๆ
หรือแม้กระทั้งการบริการแรงสนับสนุน
ซึ่งไม่ค่อยสำคัญ แต่เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้คือเรื่องเงินๆทองๆ
วันนี้ได้มีการอภิปรายปัญญาต่างๆเช่น
องค์กร Catholic (NCCM) ที่ได้ทุนจากกองทุนโรค
เพื่อดูแลผุ้ป่วยพ้นโทษที่อยู่ระหว่างการรักษา
เพราะมีการขาดยาสูงมาก .....
เรื่องยาวัณโรคเด็ก
โรงพยาบาลที่ต้องการเบิกยา
สามารถเบิกได้ที่ องการเภสัช (เบิกเหมือนยาผุ้ใหญ่)
เเต่ของให้บันทึกส่งในแบบลงทะเบียน
เริ่มเมื่อใดยังไม่รู้
เพราะ สปสช กำลังรับบริจาคยา
คาดว่าจะทำได้ประมาณ 14 กพ
วิธีที่อาจารย์หมอยุทธิชัยได้กรุณาเเนะนำ
หากยังไม่ดี
ก็ต้องทำดีๆ อีกสักที
ท้ายนี้ ผมต้องกราบขอบพระคุณคณะผู้นิเทศทุกท่าน
ที่จะมาให้ข้อคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการทำงาน
และหวังว่าสิ่งที่อาจารย์แนะนำจะได้รับการปรับปรุงแก้ไข
จากผู้ที่เกี่ยวข้องเช่นกัน
การพัฒนางานวิจัยจากงานประจำ (1)
การอบรมหัวข้อ "การพัฒนางานวิจัยจากงานประจำ"
จากสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส)
ระหว่างวันที่ 13-14 มกราคม 2553
ณ ห้องประชุม สคร.8 ชั้น 4
บางครั้งทำให้คิดได้ว่า
- อบรมพื้นฐานเพื่อจุดประเด็นวิจัยก่อน
- ติวเรื่องระเบียบวิธี
- การวิเคราะห์ข้อมูล
- การเขียนรายงานเเละนำเสนอ
เเละบอกว่า "พี่ไปเเน่ๆ"
เอาไว้เเก้มือโอกาสหน้า
1.หลังผ่านการอบรมแล้ว หวังว่าอย่างน้อยทุกท่าน
2.การอบรมเชิงปฏิบัติการนี้มีการมอบหมายให้
3.หวังว่าในปีต่อไป จะมีผลงานออกมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆๆ
4.สคร.8 จะผลักดันให้ได้นำเสนอผลงานในเวทีวิชาการ "
ภาพที่ ผอ.สคร.8 กล่าวเปิดการอบรม
อาจารย์ ดร.จรวยพร ได้เริ่มให้ความรู้
ผมขออนุญาตสรุปโดยการก็อปปี้จาก
power point ของอาจารย์มาดังนี้
Routine to Research (R2R) หมายถึง
- การใช้งานวิจัยเป็นเครื่องมือในการทำให้เกิดการสร้างความรู้เพื่อนำมาพัฒนางานประจำ ในขณะเดียวกันก็ทำให้คนที่ทำงานประจำมีโอกาสคิด ทดลอง และตั้งโจทย์ให้มีความชัดเจนขึ้น แล้วทำการทดลอง เก็บข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผล
- ใช้งานวิจัยมาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาขีดความสามารถของคนทำงาน ผลิตผลงานเชิงวิจัยออกมาได้ แล้วป้อนกลับไปพัฒนางานประจำให้ดีขึ้น”
ทำไม ต้องทำ R2R
- มี ปัญหา ที่ต้องการแก้ไข
- มี เรื่อง ที่ต้อง ทำ ให้ดีขึ้น
- ต้องการ คำตอบ ที่แม่นยำ เชื่อถือได้
- ตอบด้วย สามัญสำนึก ไม่ได้
- ต้องการ พัฒนางานและพัฒนาตนเอง
- คำถามวิจัย
ต้องมาจากงานประจำ
ต้องแก้ปัญหางานประจำ
ต้องการพัฒนาคุณภาพงานประจำ - ผู้จัดทำ
เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานประจำที่เจอปัญหานั้น
อาจต้องทำงานวิจัยร่วมกับผู้มีประสบการณ์ที่เคยทำมาก่อน - ผล
วัดได้โดยตรงที่สุขภาพของผู้ป่วย หรือระดับคุณภาพการบริการ
หรืออาจเป็นผลลัพธ์ด้านอื่น เช่น การบริหารจัดการดีขึ้น - การนำไปใช้ประโยชน์
นำกลับไปพัฒนาการดูแลผู้ป่วย หรือการบริการของหน่วยงาน
ท่านได้สอนอะไรต่างๆมากมายเกี่ยวกับ R2R
ได้เเก่......
- ความหมาย R2R
- ความต่างกับวิจัยอื่นๆ
- หลักการทำ
- ทำไม ต้องทำ R2R
- ลักษณะงาน R2R
- ประเด็นการทำ R2R
- รูปแบบการทำ R2R
- รูปแบบการวิจัย
- KM และ R2R
- รูปแบบการเขียนโครงร่างงานวิจัยจากงานประจำ
(ที่มาปัญหาและวัตถุประสงค์ ระเบียบวิธีวิจัย กลุ่มตัวอย่าง
วิธีการศึกษา สถานที่ ช่วงเวลา การวิเคราะห์ข้อมูล
แนวทางการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในงานประจำ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน)
อาจารย์ได้มาทำให้พวกเราเห็นว่า R2R ไม่ใช่เรื่องยาก
สามารถทำได้ ทำให้เกิดการพัฒนาทุกระดับเเละเป็นประโยชน์เห็นๆ
ผมคงไม่สามารถเล่าสิ่งที่อาจารย์สอนได้ทั้งหมด
เปรียบเหมือนกับผมกำลังบรรยายภาพสวยๆ อยู่ภาพหนึ่ง
ต้องเล่าทุกมุมมอง เพื่อประกอบในเหมือนเห็นภาพ
มันคงจะดีกว่าถ้าคนที่จะมาฟังผมเล่า
ได้เห็นภาพนั้นด้วยตัวเขาเอง
เเต่จะดีมากหากได้ทดลองมือวิจัย R2R เอง
ประเด็นที่ท้าท้ายในบริบทของ สคร.8
- กรอบการทำงานของ สคร.8 / งาน routine ของ สคร.8 คืออะไร
- ต้องการผลอะไรเเละนำไปใช้ทำอะไร
- มิติไหนที่เราสมควรพัฒนาเป็นอันดับต้นๆ
- ใครจะมาทำบ้าง
- etc
มันออกจะเป็นปรัชญานิดๆ
ผมว่าคนของ สคร.8 เข้าใจอะไรง่ายอยู่เเล้ว
ความท้าทายที่ผมทิ้งไว้ หาคำตอบได้ไม่ยาก จริงไหม??
ภาพมุมหนึ่งของผู้เข้าอบรม
อุตส่าห์ถ่ายไกลๆเเล้ว เเต่ก็ยังเห็นหัวล้านของผมจนได้
ถ่ายรูปหมู่ตอนจบการอบรม
เเต่กว่าจะมาถึงภาพนี้ได้ ให้ตามไปดูหัวข้อนี้ในภาค 2-3-4-5-6
ผมจะเล่าให้ฟังเป็นช็อตๆ
ติตตามภาคต่อไปครับ
การพัฒนางานวิจัยจากงานประจำ (2)
การพัฒนางานวิจัยจากงานประจำ (3)
โดย ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์
ทุกคนกำลังตั้งอกตั้งใจฟัง
บรรยากาศช่วงบ่าย ระหว่างที่อาจารย์จรวยพรเเละ ผอ
กำลังให้ความเห็นงานของกลุ่มโรคเรื้อน
นำเสนอโดยพี่ธิดา(พี่ป้อม)
ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยงบจากสถาบันการเเพทย์ฉุกเฉิน???
ท่าทาง ลีลาของอาจารย์ขณะกำลังสอน
ตื่นเต็น ชวนติดตามทุกช็อต
การพัฒนางานวิจัยจากงานประจำ (4)
โดย ดร.จรวยพร ศรีศศลักษณ์
น้องๆจากฝ่ายบริหารที่ท่าทางจะตื่นเต้นเเต่ก็ทำได้ดี
จนอาจารย์ชม
พี่รังสรรค์กำลังให้ความเห็นเรื่องการจัดการอบรมR2R