วันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2553

หนังสือ "The World is Flat....."

วันนี้ผมได้มีโอกาสอ่านบทสรุปหนังสือที่ ดร.สิระ สุทธิคำ

จาก http://www.englishthailand.com/ ส่งมาให้อ่าน

หนังสือชื่อ

The World is Flat: A Brief History of the Twenty-First Century
โดย Thomas L. Friedman

หนังสือเล่มนี้ผมเจอในร้านหนังสือมานานเเล้ว
เเละเคยคิดว่าจะซื้อมาอ่าน เเต่ ไม่ใช่เพราะราคาที่เเพงหรอกนะครับ
เป็นเพราะหนังสือมันหนามากกว่า จึงถูกเข้ากลุ่มที่หากมีเวลาเเละอารมภ์จึงจะอ่าน

เเต่พอเห็นว่ามีบทสรุปหนังสือทั้งเล่ม มีหรือที่จะไม่อ่าน
มีคนย่อยมาให้เเล้ว อย่างนี้ก็เสร็จเราซิ

ลองอ่านที่เขาสรุปมาให้ดูตามนี้................
เเล้วผมจะมาสาธยายขยายความต่อตอนท้ายอีกที

1. ความหมายของ The World is Flat
ผู้เขียนอธิบายว่า
ในปี ค.ศ. 1492
เมื่อ Christopher Columbus เดินเรือเพื่อ
หาเส้นทางไปทวีปอินเดีย
แต่ด้วยความผิดพลาดโดยบังเอิญ
ไปพบทวีปอเมริกา Columbus มีประสบการณ์จากการ
เดินทางครั้งนั้นว่าโลกกลม
แต่ในปัจจุบันยุคโลกาภิวัตน์
ที่อินเดียเป็นศูนย์กลางของ Business Process Outsourcing
(BPO) ให้บริการต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นการรับเขียน Software
กรอกแบบภาษี วิเคราะห์ผล X-ray ติดตามกระเป๋า
เดินทางที่สูญหายให้แก่สายการบิน
โดยให้บริการแก่บริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก
ผ่านทาง Internet ส่วนประเทศจีนมีแรงงาน
ที่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นหลายพัน
คนกำลังให้บริการ BPO แก่บริษัทต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่น
หรือแม้แต่ในประเทศที่ กำลังพัฒนาเอง
รูปปั้น Virgin of Guadalupe ที่ชาวเม็กซิกันนับถือ
และวางขายอยู่ในประเทศเม็กซิโกนั้นขณะนี้ทำ
จากประเทศจีน

ประสบการณ์เหล่านี้เปรียบเสมือนว่า
ปัจจุบันเราอยู่ในโลกที่แบน และผลที่เกิดขึ้นก็คือการเผชิญหน้า
กันในสนามการแข่งขันภายใต้สภาพแวดล้อมเดียวกัน (level playing field)

2. กระแสโลกาภิวัตน์ที่ผ่านมา
ในประวัติศาสตร์มี 3 ช่วง

ได้แก่

(1) Globalization-1.0 เริ่มจากปี ค.ศ. 1942 มี
กลไกการเปลี่ยนแปลงคือประเทศตะวันตก
เช่น สเปนและอังกฤษ เป็นต้น
ที่เดินทางแสวงหาอาณานิคม ทำให้โลก
เสมือนลดขนาดลงจากขนาดใหญ่เป็นขนาดกลาง

(2) Globalization-2.0 เริ่มจากปี ค.ศ. 1800
โดยกลไกคือบริษัทข้ามชาติที่แสวงหาตลาด
และแรงงานในโลกตะวันออก
ทำให้โลกเสมือนลดจากขนาดกลางเป็นขนาดเล็ก

(3) Globalization-3.0 เริ่มจากปี ค.ศ. 2000
ที่เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้โลก
เสมือนลดจากขนาดเล็กเป็นขนาดจิ๋ว
โดยกลไกคือคนทุกคนและทุกกลุ่ม
ที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี (plug and play)
และร่วมในกระแสโลกาภิวัตน์นี้ได้โดยไม่
จำกัดเฉพาะชาวโลกตะวันตกอีกต่อไป

3. เหตุการณ์สำคัญ ที่ทำให้โลกแบน ได้แก่ (1) 11/9/89
The wall came down and Windows came up.
วันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1989 (11/9) กำแพง
เบอร์ลินถูกทำลาย ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่ม
โลกไร้พรมแดน
และหลังจากนั้นอีก 5 เดือน โปรแกรม
Windows 3.0 เริ่มวางตลาด



(2) 8/9/95
People to people connectivity
วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ. 1995 บริษัท Netscape เข้าเป็นบริษัท
มหาชน ซึ่งทำให้เกิดสิ่งสำคัญ 3 เรื่อง

1) มี browser ที่ทำให้การใช้ Internet เกิดเป็นที่นิยมทั่วโลก

2) ทำให้มี มาตรฐานที่การติดต่อสื่อสารและ
เชื่อมโยงกันระหว่างผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระบบต่าง ๆ เกิดขึ้นได้

3) เกิดกระแส Dot-Com boom
จนเกิดการลงทุนในการวางสาย Fiber Optic
มูลค่าประมาณ 1 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งทำให้เกิด
การสื่อสารได้ทั่วโลกโดยต้นทุนการส่งเอกสาร
เพลง หรือข้อมูลลดลงอย่างมหาศาล

(3) Work Flow Software (Application to application connectivity)
การที่มีมาตรฐานและการเชื่อมโยงให้
เกิดการสื่อสารกันได้ระหว่างผู้ที่ใช้คอมพิวเตอร์
ต่างกันและโปรแกรมต่างกันได้ ทำให้เกิดการแปลี่ยนแปลงใน
กระบวนการทำงาน (work flow) อย่างมาก
การแบ่งปันความรู้และการร่วมงานกันเกิดขึ้นระหว่างคนที่อยู่ต่าง
สถานที่ ต่างเวลา ต่างงานกัน อย่างไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์

(4) Open-sourcing เช่นการเปิดให้
ใช้โปรแกรม Linux ฟรีแก่คนทั่วไป
ทำให้เกิดรูปแบบใหม่ของการสร้างสรรค์
(new industrial model of creation)
และการร่วมทำงาน เช่น นักศึกษาอายุ 19 ปีของมหาวิทยาลัย Stanford
ประเทศสหรัฐอเมริการ่วมกับนักศึกษาอายุ 24 ปี
ในประเทศ New Zealand พัฒนาโปรแกรม Firefox Web
Browser โดยไม่เคยพบตัวกันเลย
และโปรแกรมได้มีผู้ download ไปใช้แล้วกว่า 10 ล้านคน

(5) Outsourcing เป็นรูปแบบใหม่ของการร่วมกัน
ในกระบวนการทำงาน โดยกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัท
สามารถ แยกออกไปทำนอกบริษัทในที่อื่นได้

(6) Offshoring การที่จีนเข้าร่วม WTO
กระตุ้นการย้ายฐานการผลิตหรือแยกกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัทไป
ต่างประเทศ (offshoring) ที่มีต้นทุนถูกกว่ามากขึ้น

(7) Supply Chaining การบริหารห่วงโซ่อุปทาน
ในปัจจุบันทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
บริษัท Wal-Mart ซื้อของจากประเทศจีน
เป็นมูลค่าอันดับที่ 8
เมื่อเทียบกับประเทศคู่ค้าของจีน
(มากกว่าการส่งออกของจีนไป คานาดา หรือ ออสเตรเลีย)

(8) Insourcing คือการที่บริษัทเข้าไปทำงานต่าง ๆ
ในบริษัทอื่น เช่น UPS ซึ่งขณะนี้รับทำงาน logistics ให้กับ
หลายบริษัท การดูแลและให้บริการแก่
ลูกค้าซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์ของ Toshiba
หรือการให้บริการลูกค้า สั่งซื้อรองเท้าทาง nike.com นั้น
จะดำเนินการโดย UPS ตั้งแต่การตอบโทรศัพท์ ซ่อมของ ห่อของ
ส่งของ จนถึงการเก็บเงิน

(9) In-forming เราสามารถหาข้อมูลให้ตัวเองได้อย่างง่ายดาย
จาก Internet และ search engine เช่น Google

(10) The Steroids Wireless and Voice over the Internet
เป็นเครื่องมือที่เหมือนยาชูกำลังที่จะทำให้การร่วมงาน
ในรูปแบบต่างๆ ทำได้โดยมีประสิทธิภาพมาก
เนื่องจากเราจะสามารถเชื่อมต่อกับใครก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ด้วย
เครื่องมือที่หลากหลาย
ทั้ง 10 เรื่องนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้โลกแบนขึ้นและเรียกปัจจัยเหล่านี้ว่า “flatteners”

4. Triple Convergence ประมาณปี ค.ศ. 2000
มีการเปลี่ยนแปลง 3 เรื่องเกิดขึ้นซึ่งเป็นกระบวนการที่จะก่อให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงของโลกต่อไปในศตวรรษที่ 21 ได้แก่

(1) First Convergence ได้แก่ การที่ flatteners
ทั้ง 10 ประการได้มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน เช่น informing มี
ผลต่อ outsourcing;
outsourcing มีผลต่อ insourcing;
insourcing มีผลต่อ offshoring เป็นต้น
ซึ่งเป็นกระบวนการร่วมและแลกเปลี่ยนงาน
และความรู้กันทั่วโลกโดยไม่ขึ้นกับความแตกต่าง
ระหว่าง เวลา ระยะทาง หรือแม้กระทั่งภาษา

(2) Second Convergence
ได้แก่ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นแนวราบ (horizontal)
การค้นพบกระแสไฟฟ้า
ในระยะแรกยังไม่ได้ก่อให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
เนื่องจากยังต้องมีการเปลี่ยนแปลงโรงงาน
กระบวนการผลิตและพฤติกรรมการทำงานของคน
จากที่เคยคุ้นเคยกับเครื่องจักรไอน้ำ
ถ้าเปรียบเทียบกับในปัจจุบันสิ่งที่กำลังเพิ่งเริ่มต้นก็คือ
การที่คนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากแนวตั้ง
คือ command and control value creation models
มาเป็น connect and collaborate horizontal value creation model
ตัวอย่างเช่น ในยุค globalization 1.0
การซื้อบัตรโดยสารเครื่องบินจะต้องซื้อผ่านบริษัทจำหน่ายบัตรโดยสาร
ซึ่งให้บริการลูกค้า
ยุค globalization 2.0 เริ่มมีเครื่องขายอัตโนมัติที่สนามบินที่ลูกค้าสามารถซื้อได้ด้วย
ตนเอง
ส่วนยุค globalization 3.0 ลูกค้าสามารถซื้อผ่าน internet
และสั่งพิมพ์บัตรโดยสารเองที่บ้านและ
นำไปขึ้นเครื่องบินได้เลย
นั่นคือลูกค้าได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นแนวราบ
โดยทำงานแทนพนักงานของ
บริษัทด้วยทรัพยากรของตัวเอง
ซึ่งเป็นกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ
และจะเกิดขึ้นอีกมากมายต่อไปในโลก

(3) Third Convergence

ได้แก่ การที่มีคนอีก 3 พันล้านคนจาก

จีน อินเดีย และรัสเซีย เข้ามาร่วมแข่งขันในโลกที่
แบนขึ้น ถ้าเพียงแค่ร้อยละ 10 ของประชากรนี้
ได้เข้ามาร่วมในกระบวนการโลกาภิวัตน์ก็มากกว่าจำนวน
แรงงานของสหรัฐถึงสองเท่า

5. ข้อเสนอแนะสำหรับประเทศกำลังพัฒนา

การปฏิรูปในระดับมหภาค

ดังเช่นในอดีต ได้แก่ นโยบายส่งเสริมการส่งออก

แปรรูปรัฐวิสาหกิจ เปิดเสรีการเงิน
ปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยน ลดการอุดหนุนจากรัฐบาล

ลดการปกป้องทางภาษีการค้า สร้างความยืดหยุ่นของ
ตลาดแรงงาน และ นโยบายการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ เป็นต้น

ไม่เพียงพอที่จะทำให้ประเทศสามารถ
อยู่รอดในโลกแบนที่มีการแข่งขันสูง
ประเทศจำเป็นต้องมีการปฏิรูปในระดับจุลภาค

โดยมีวัตถุประสงค์ให้มีกฎระเบียบและโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุน
คนในประเทศจำนวนมากที่สุดให้สามารถสร้างนวัตกรรม

เป็นผู้ประกอบการ จัดตั้งบริษัท เข้าถึงทุน เผชิญการ
แข่งขัน และเป็นที่ต้องการของคนในที่ต่างๆในโลก

ที่จะเข้ามาร่วมงานกัน (collaborate) ทั้งนี้การปฏิรูปดังกล่าว


จะต้องมี 4 องค์ประกอบ ได้แก่

  1. โครงสร้างพื้นฐาน ได้แก่ ถนน ท่าเรือ สนามบิน และ โครงข่ายโทรคมนาคม เป็นต้น

  2. กฎระเบียบ ที่สนับสนุนและไม่ขัดขวางวัตถุประสงค์ข้างต้น

  3. การศึกษา ทั้งโอกาสและคุณภาพ

  4. วัฒนธรรม ประเทศที่สามารถเปิดรับแนวคิดและการปฏิบัติที่เป็น best practice จากต่างประเทศและ ปรับเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมได้ เช่น สหรัฐ อินเดีย ญี่ปุ่น และ จีน เป็นต้น จึงจะมีโอกาสของความสำเร็จสูง
นอกจากนี้การร่วมงานกัน ต้องมีความไว้ใจระหว่างกัน
ซึ่งต้องการความอดทนและการยอมรับ

ในความแตกต่าง (culture of tolerance)
นอกจากองค์ประกอบทั้ง 4 ยังมีสิ่งที่จับต้องไม่ได้

ที่เป็นปัจจัยส่งผลให้บางประเทศ เช่น เกาหลีและไต้หวัน
ประสบความสำเร็จในการปรับตัว

ในขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น อียิปต์ และ ซีเรีย

ไม่ประสบความสำเร็จ

ได้แก่ การมีผู้นำในสังคมที่มีวิสัยทัศน์

และความตั้งใจในการผลักดันการเปลี่ยนแปลง

และพลังของสังคมที่จะร่วมมือ
ร่วมใจกันในการพัฒนาประเทศ


ชาวจีนขณะนี้ไม่ได้ต้องการเพียงแค่ผลิตรถ GM ได้

แต่ต้องการจะเป็นบริษัทอย่าง GM

และเข้ามาแทนที่ GM ในธุรกิจรถยนต์ให้ได้

การปฏิรูประดับจุลภาคที่สำเร็จต้องการแนวร่วมที่มี
ความหลากหลายและมีจำนวนมาก

จึงเป็นเรื่องที่ยากและท้าทายกว่าการปฏิรูประดับมหภาคที่ผ่านมาในอดีต



หมอโรจน์มาเเล้ว....

จากข้อเสนอเเนะสำหรับประเทศกำลังพัฒนานั้น
ผมมุ่งไปที่ข้อที่ 4 คือ

เรื่องวัฒนธรรม

ประเทศที่สามารถเปิดรับแนวคิดและ

การปฏิบัติที่เป็น best practice จากต่างประเทศ


และปรับเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมได้


คงจะชัดเจนในความหมายอยู่เเล้ว


เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ทำให้ผมนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้


เป็นเรื่องที่ผมได้ยินครั้งเเรกจากธรรมเทศนาของท่านเจ้าคุณพระธรรมโกศาจารย์




เป็นเรื่องการรับวัฒนกรรมการใช้ช้อนส่อมของประเทศไทย


เมื่อสมัยสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว


ซึ่งพระองค์ทรงได้รับการสาปนา


ให้เป็นSecond King สมัยรัชการที่ 4

(หลักฐานเท่าที่มีปรากฏใน พระราชพงศาวดารของไทยเรา การที่พระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้งพระอนุชาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ที่สอง นั้น มีเฉพาะ สมัยกรุงศรีอยุธยา คือ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชและสมเด็จพระเอกาทศรถเท่านั้น ก่อนที่จะมาถึงรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว)


เป็นที่น่าสังเกตุว่าเวลาเราไปนั่งทานอาหารฝรั่ง
จาน ช้อน มีด เเก้ว อะไรไม่รู้กันนักกันหนาเยอะเเยะไปหมด หยิบไม่ถูก

ถ้าเป็นการทานที่บ้านก็คงไม่เป็นไร

เพราะสามารถเเอบใช้มือเปิบได้ตามความต้องการ

ตอนเรียนเเพทย์ อาจารย์หมอท่านเห็นว่าไอ้พวกนี้

หากปล่อยให้ยังคงกินอาหารเเบบนี้อีก

อายเขาตายเเน่ เลยส่งนักเรียนเเพทย์รุ่นผม

ไปเข้าอบรมที่โรงเเรมชั้นหนึ่งที่เชียงใหม่

ตอนนั้นพึ่งรู้ว่ากว่าจะกินอาหารได้ มันทำไมยุ่งอย่างนี้

มีดมีไม่รู้กี่อัน ช้อนซุป ช้อนกาเเฟ ช้อนอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด

สรุปว่าผมผ่านคอร์สนั้นมาได้ เเละทำไฮโซได้ไม่กี่วัน

ตอนนี้กลับมากินเหมือนเดิมเเล้ว

เข้าเรื่องต่อ.....


สมเด็จพระปิ่นเกล้า พระองค์เห็นความสำคัญเเละอยากทรงเรียนรู้

จึงได้ทรงเชิญสามีภรรยาหมอสอนศาสนาคู่หนึ่งมาทานอาหารเย็นที่พระตำหนัก

ฟังเเล้วไม่เห็นเเปลกใช่ไหม เเต่เรื่องที่เเปลกคือ ในการ์ดเชิญ

ระบุว่า "ทรงเชิญทานอาหารเย็น เวลา 8.00 น ชนิดเต็มยศ"

ฝรั่งคู่นั้นตอนเเรกก็คงจะงง เหมือนผมเป็นเเน่

เเต่ไหนๆก็ไหน ลาภปากมากถึงเเล้ว

ถึงเเม้ว่าจะมาก่อนเวลาที่ควรจะเป็นก็ตาม


พอฝรั่งเเต่งตัวเต็มยศ ไปถึงวัง

สมเด็จพระปิ่นเกล้าทรงบอกกับฝรั่งว่า

ให้เเสดงวิธีรับประทานอาหารให้ดู

เเล้วพระองค์จะทรงดู

ฝรั่งก็บรรจงเปิบ(รับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย)

จนเสร็จ (เเละก็คงจะอิ่มด้วย)


พระองค์ทรงทราบว่า การทานอาหารอย่างฝรั่ง

ดูรกรุงรังมากเเละไม่ค่อยเหมาะกับอาหารไทย

พระองค์คิดดูเเล้ว สำหรับอาหารไทย

มีเพียงช้อน กับส้อมก็เพียงพอ

เเละไม่รุงรังมากไป

บรรดาสรรพมีดที่วางอยู่เรียงราย ก็ไม่ถูกเลือก

(ถ้าเป็นปัจจุบันก็คงเอาไว้เเทง ผู้ร่วมโต้ะเวลาพูดไม่เข้าหู)


นับเเต่นั้นมา ประเทศไทยก็จึงเริ่มใช้ช้อนส้อมนับเเต่นั้นมา

เเละยังเเพร่ไปให้กับหลายประเทศในเเถบเอเซีย

เพราะพวกเขาก็คงจะนึกเหมือนเราที่ว่า ช้อนฝรั่งมันรกจริงๆ

ลองนึกดูขนาดพวกเรายังลำบากเพียงนี้

หากเป็นพระ ท่านคงลำบากกว่าเราเป็นเเน่



นี่เป็นตัวอย่างของการรับวัฒนธรรมของต่างชาติ

เเล้วมาปรับเข้ากับบริบทของประเทศไทย

หากประเทศไทยเราสามารถประยุกติ์ใช้ได้

รับรองอนาคตประเทศชาติเจริญรุ่งเรื่องเเน่ๆ

ตามที่หนังสือเขาบอกงัย

หวังว่าหนังสือที่ผมนำมาบอกต่อเเละให้ตัวอย่างเพิ่ม

น่าจะมีประโยชน์บ้างนะครับ

ธรรมสวัสดี...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น