ที่โรงเเรมอิสติน มักกะสัน
เมื่อวันที่ 16 ธันวา 52
ผู้วิพากษ์ได้เเก่ หมอวิทยา จาก รพ.เเม่สอด
หมอสมศักดิ์ วัฒนศรี เเละหมอโรม บัวทอง จากสำนักระบาด
มีเเฟนคลับมารอฟังด้วย
ส่วนหนึ่งมารอชื่นชม อีกส่วนมารอสมน้ำหน้า
อีกส่วนคือพวกจองกฐินผมไว้ตั้งเเต่เเรก
ผมส่งไฟล์รูปบรรยากาศไว้เป็นที่ระลึก
ฮ่าๆๆๆ ทีม สคร.8 สร้างปาฏิหารย์ตั้งเเต่เริ่มเเรก
เพราะทีมพร้อมใจสวมเสื้อสีเเสดของ SRRT มาพร้อมรับศึกเเบบไม่ได้นัดหมายกันล่วงหน้า
ก่อนนำเสนอผมได้สถาปนาพี่หมอพรานเป็นco-advisor
พี่พรานให้ความเห็นเพิ่มว่า ผมควรทำepi curve เพิ่ม
โดยให้เเยกเป็นเเต่ละโรงนอน
ผลออกมาเห็นว่าเป็น common source ประมาณ 3 โรงนอน
ผมมีเวลาเตรียมไสด์ 1 วัน 1 คืน
วันนำเสนอตอนเช้า ผมได้ทำความรู้จักกับหมอวิทยา
พี่เขาบอกว่ายังไม่ได้อ่านงานของผมเลย
พี่จะฟังไปเเละถามไป สดๆ
เเละเนื่องด้วยผมต้องเตรียมกันสดๆ เลยโดนพี่วิทยาเเซวว่า สดจริงๆ
เเละจะรอฟังอย่างใจจดจ่อ เเล้วยิ้มด้วยสายตาเป็นมิตร
ทำให้ผมสบายใจเป็นอย่างยิ่ง
ทีมเเรกนำเสนอ เป็นหมอตาจาก กทม มานำเสนอโรคตาเเดง
จนเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
คือผู้วิพากษ์เถียงกันเพราะไม่เห็นด้วยซึ่งกันเเละกัน
สุดท้ายผู้จัด ให้หยุดการวิพากษ์เเละบอกว่าสามารถเห็นต่างได้
บรรยากาศจึงเย็นลง
ผมเเอบกระซิบกับพี่พรานว่า งานเข้าผมเเน่ๆ
พี่พรานบอกไม่เป็นไร สบายๆ
เเละให้หนังสือผมมา1 เล่ม
บอกว่าถ้าเขาถามเรื่องระยะฟักตัว
ให้เปิดหน้านี้ยันเลย(พร้อมคั่นหนังสือให้ด้วย)
ผมเริ่มบรรยายด้วยการออกตัวว่า ไม่ใช่หมอตา
เเละออดอ้อนอย่างเกินงาม
จนพี่วิทยาเเซวเเบบยิ้มๆ เเทรกมาว่า "ไพโรจน์เลิกอ้อนได้เเล้ว"
ส่วนหมอสมศักดิ์ก็บอกว่า "ดูจากชื่อ ไม่ใช่หมอตาเเน่ๆ"
การบรรยายราบรื่นดี จนจบ มีเสียงฮือฮ่าเเละหัวเราะประปราย
หลายจุดผมบอกไปตรงๆว่าเป็นข้อผิดพลาดที่ผมรู้เเต่ผมไม่ยอมรับ
พี่วิทยาเเอบเเซวเเบบยิ้มๆว่า "จะจบหรือยัง"
ส่วนพี่พรานตะโกนบอกว่า "ชมพอได้เเล้ว คนเริ่มคลื่นใส้เเล้ว"
หมอวิทยาก็ชมเเต่ก็มีประเด็นที่ขอให้ความเห็นเพิ่มเติม
ผมตอบเท่าที่ตอบได้ ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ ไม่ได้เถียง???
ถือว่าเป็นข้อคิดเห็นทางวิชาการ ไม่ใช่การจับผิด ตอบเเบบสบายๆ (ส่วนใหญ่ไม่ได้ตอบ)
สรุปเนื้อหาที่ถูกวิพากษ์คือ
- เรื่องโรงนอนที่2 ว่าทำไมถึงมีattack rate น้อย น่าจะลงไปดู
- หมอสมศักดิ์บอกว่ามันสัมพันธ์กับอาการทางระบบประสาทได้ ถามว่าระบาดครั้งนี้เจอคนไข้ที่มีอาการทางระบบประสาทกรือไม่ ผมตอบว่าไม่มี
- เรื่องจัดการน้ำ ไม่คิดว่าเรือนจำจะมีข้อจำกัดมาก
- หมอโรมถามเรื่องการทบทวนระบาดในอดีตในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง เพราะผมนำเสนอเเต่ของต่างประเทศไม่เหนมีรายงานในไทย(ไปเเบบน้ำขุ่นๆ) เพราะผมค้นเจอจาก pubmed มีคนบอกว่ามีใน annual report ของสำนักระบาด เเละเเอบเเซวพี่พรานทำไมไม่บอกผม พี่พรานตอบไปว่า "ก็มันพึ่งสถาปนาผมเมื่อกี้นี้เอง"
- หมอสมศักดิ์บอกว่า เชื้อมีมาหลายชาติเเล้วเเต่พึ่งมีรายงานครั้งเเรกเมื่อปี 69 ให้ผมพูดให้ถูก เเล้วก็ให้ความเห็นเรื่องการควบคุมโรคว่า ด้วยทรัพยากรที่จำกัด อาจทำได้ไม่เต็มที่ เเละคงจะไปทำ analytic study ไม่ได้เพราะเยอะมาก (เเต่พี่วิทยาเเอบมากระซิบที่หลังว่า เลือกมาทำสัก 50-60 รายก็ได้ ไม่ต้องทำทั้งหมด) ทั้งชมเเละซักผมเรื่องโรงนอนต่างๆ อย่างมาก
วันนี้มีโรคตาเเดงหลายที่มานำเสนอเลยเกิดการเปรียบเทียบ เเต่ก็ถูกเเอบเเซวเล็กน้อย เพราะมีนักโทษตาเเดงไปเเค่ 800 คน ที่อื่นเเค่ 80 คน
(หมอปรีชา สำนักระบาด(รู้จักกันกับผมดี)มาเเซวผมตอนกินกาเเฟว่า สู้ของทีมของเขาไม่ได้
สุดท้ายก็จบการนำเสนอไปด้วยดี เเละผมก็สามารถไปกินข้าวได้อย่างสบายใจ
นั่งฟังการนำเสนอเเละการวิพากษ์ได้ความรู้ด้านสอบสวนโรคขึ้นมาอย่างมาก
ทำให้รู้ว่าหมอนักระบาดเขามีมุมมอง วิธีคิดอย่างไร เเละผมต้องไปเติมความรู้ตรงไหน อย่างไร เเต่ผมคงทำไม่ได้เพราะไม่มีเเรงเเละหมดไฟเเล้ว
หลายอย่างก็คล้ายกับหมอสาขาอื่นๆ หลายอย่างก็เป็นวิธีเฉพาะ
ทำให้อยากไปเทรน FETP จริงๆเสียเเล้ว(พูดเล่นนะครับ )
การมาอบรมทำให้ทราบว่างาน field epidemiology มีเสน่ห์ไปอีกเเบบ
ตอนเเรกผมไม่ค่อยสบายใจเพราะเคยเรียนมาเเต่ clinical epi/research methodology
มาเจอ field epidemiology ที่ทำงานภายใต้ข้อจำกัด ไม่ตรงตามระเบียบวิธีวิจัยเเบบตรงไปตรงมาเเละมีมุมมองอีกมุม เเต่ก็ควบคุมโรคได้
ยิ่งฟังการวิพากษ์เเล้ว ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเป็นกอง
สงสัยต้องฝากตัวเป็นศิษย์ประจำกับสำนักระบาดเสียเเล้ว
เผื่อจะทำให้ความรู้เรื่องควบคุมโรคของผมดีขึ้นมาบ้าง
เเต่จะให้ไปเรียน FETP เเละต้องออกสอบสวนโรคเองตลอด
สงสัยว่าผมจะไม่มีเเรง
หลังจากนำเสนองานในโครงการสร้างผู้เชี่ยวชาญของกรมในวันที่ 24 ธค (เเละร้องเพลงในงานเลี้ยงปีใหม่ของ สคร.8 ในคืนเดียวกัน) ผมจะปิดทัวร์นาเมนต์การนำเสนองานของปีนี้เเล้ว
เเละกะว่าจะไม่ไปนำเสนองานอีกสักระยะใหญ่ๆ เพราะเหนื่อยมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น