วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ผศ. รอ. นพ. ดร. สุมาส วงศ์สุนพรัตน์

มีบทความหนึ่งที่ผมได้อ่านเเละforward ไปให้เพื่อนๆอ่านมานานเเล้ว ขอลอกมาโพสต์อีกอครั้ง


ผมดูรายการเกมส์กลยุทธ์ รู้สึกทึ่งกับกระบวนการคิดของท่านมาก เลยลองค้นหาประวัติของท่าน ท่านคือ..............
ผศ. รอ. นพ. ดร. สุมาส วงศ์สุนพรัตน์
(รู้สึกว่าเป็นcandidate DD ของการบินไทยด้วย)
ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่มียศนำหน้าชื่อยาวเหยียดคนหนึ่งของเมืองไทย และดูหลากหลายอาชีพอีกต่างหาก ดร. สุมาส วงศ์สุนพรัตน์ ให้เกียรติเป็นคอลัมนิสต์กับ marketeer มาหลายฉบับ คราวนี้รู้จักตัวจริง เสียงจริงของเขาเสียที่
………………………………………………….
อาจารย์เรียนแพทย์มาก่อน
ใช่ ผมจบแพทย์ ศิริราช

แล้วทำไมจึงเปลี่ยนสายงาน
ไม่ได้เปลี่ยน พอจบก็ทำแพทย์ก่อน ไปเข้าทหารอากาศ หลักสูตรแพทย์เวชศาสตร์การบิน ผมเป็น Flight Sergeant อยู่ฝูงตาคลีแอร์เบส นครสวรรค์ ซึ่งหลักสูตรนี้ทำให้ผมมีโอกาสได้บินจริงๆ ด้วย

แล้วเกี่ยวข้องกับแพทย์อย่างไร
การบินเครื่องอย่าง F 5 หรือ F 16 พวกนี้มันเป็น High Performance เวลานักบินไปควบคุมจึงต้องรู้เกี่ยวกับสภาพร่างกาย การดู การอะไรต่างๆ เพราะมันต้องดึง G สูง สมองจะขาดเลือด ต้องมีเรื่องการตัดสินใจแบบฉับพลันเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมรู้ เพราะเรียนแพทย์มาก่อน

คือคนที่เข้ามาเรียนหลักสูตรนี้เบสิกเขาคือแพทย์
ใช่ แล้วก็ต้องผ่านการทดสอบของทหาร

เป็นนักบินอยู่นานเท่าไร
ไปอยู่ที่ตาคลี 3 ปี จนเป็นเรือเอกแล้วก็ออก ช่วงที่เป็นทหารอากาศตอนนั้น ตาคลีอยู่ห่างจากกรุงเทพฯ 200 กิโลเอง เสาร์อาทิตย์ผมก็กลับ วิ่งเข้าโรงพยาบาลตรวจคนไข้ เป็นมือปืนรับจ้างตามโรงพยาบาลควบคู่ไปด้วย

และผมลงเรียนมสธ.ไว้ด้วย จึงได้ปริญญาตรีทาง Management อีกใบ พอออกจากทหารอากาศ จึงได้ไปทำงานในบริษัท เป็น Project Manager ทำด้านแมเนจเม้นท์บ้าง มาร์เก็ตติ้งบ้าง ควบคู่กับการเทรนผิวหนัง ซึ่งเป็นแพทย์เฉพาะด้านด้วย พอทำได้สัก 3 ปี ผมก็ไปอเมริกา ไปทำงานด้านบริหารอยู่เกือบ 2 ปีที่ฟลอริด้า

อาจารย์เลือกที่จะไปอเมริกาหรือเป็นโอกาสเหมาะที่เข้ามา
ผมเลือก ผมเป็นคนชอบวางแผนล่วงหน้า เราอยากเป็นอะไร เราก็นึกไว้ในใจ เป็นหมอ เป็นนักบิน เป็นดอกเตอร์ ตอนเด็กๆ เห็นดอกเตอร์มาพูดทางทีวี โห เก่งจังเลย คอมเมนท์อะไร คนก็เชื่อ มีอิมแพ็คกับประเทศ อย่างแต่ก่อนด็อกเตอร์อำนวย อายุ 28 ท่านก็เป็นรัฐมนตรีแล้ว เราก็อิมเพรสมาตลอด ก็แพลนอยู่แล้วว่าถ้ามีโอกาสเราจะไปทำด็อกเตอร์ที่นั่น แต่ไปถึงก็ไปเรียน MBA ก่อน ที่ Carnegie Mellon เรียนอยู่ 2 ปี พร้อมๆ กับทำงานไปด้วย

การเรียน MBA ถือเป็นอีกหนึ่งในแผนที่วางไว้
ใช่ ผมเมเจอร์มาร์เก็ตติ้งและไฟแนนซ์ จบแล้วก็ทำงานต่อ มันจะเป็นเรื่องของเรียนสลับกับทำงาน เพาะผมว่ามันต้อง Reality มากๆ ผมคิดว่าถ้าเรียนด็อกเตอร์อย่างเดียวมันจะพูดไม่รู้เรื่อง มันไม่เรียลไง เวลาเขาพูดที เราก็อะไรนะๆ ต้องเอามาแปลอีกที หรือบางทีแปลแล้วยังเอามา Apply ไม่ได้

พอทำงานไปอีกสักพัก จึงได้เรียน Ph.D. ที่ Cornell ผมใช้เวลาเรียน 5 ปี เพราะว่า Ph.D. ด้านบิสซิเนสมันนาน แล้วที่ผมเลือกมันเป็นฟูลคอร์ส ซึ่งที่จริงจะมีอีกหลักสูตรที่เรียน 3 ปีก็ได้ด็อกเตอร์เหมือนกัน แต่ผมคิดว่าทำแล้ว ต้องทำดีที่สุด เลยยอมเสียเวลาเรียน 5 ปี

อาจารย์ใช้ทุนส่วนตัวหรือสอบชิงทุน
ไม่มีทุนหรอกครับ ผมสอบเข้าไปเรียนแล้วค่อยไปขอทุนที่นั่นเอา ยูดีๆ ที่อเมริกาเขาจะเป็นระบบแบบนี้แหละ มีค่ากิน ค่าเรียนให้เป็น Free Money เลย แล้วก็ไม่ต้องคืนด้วย แต่ปัญหาคือมันเข้ายากไง Ph.D. แทร็กที่ผมเลือก ต้องสอบ GMAT ได้สูงมาก ผมสอบ GMAT ครั้งที่ 2 ถึงได้คะแนนมากกว่าที่เขาต้องการ อย่างที่คอร์แนล เขาเปิดมาเป็นร้อยปีแล้ว เพิ่งมีผมเป็นคนไทยคนแรกที่ได้เรียนหลักสูตรนี้ เพราะส่วนใหญ่จะเรียนเศรษฐศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมีมากกว่า ผมก็เพิ่งมารู้ว่าเป็นคนไทยคนแรกของหลักสูตรตอนที่โปรเฟสเซอร์มาบอกนั่นล่ะ

อาจารย์เป็นนักเรียนเรียนเก่งมาตั้งแต่เด็ก
ก็ใช้ได้ ได้ที่หนึ่ง แต่ผมทำกิจกรรมเยอะ เล่นดนตรี แข่งกีฬา มีอะไรทำหมด

เห็นบอกว่าตอนเรียนได้ทำงาน Consult ด้วย
ใช่ ก็สลับกัน ทั้งทำ ทั้งเรียน พอเสร็จแล้วก็เป็นอาจารย์ ต่อที่คอร์แนล สอน MBA ในบิสสิเนสสกูล สอนอยู่ 2 ปี มีลูกศิษย์เป็นคนไทยด้วย รู้สึกจะสัก 5 คน พอเสร็จจากคอร์แนลก็ไปเป็น Assistant Professor ที่วิสคอนซิน เป็น Tenure Track คือการเป็นโปรเฟสเซอร์ที่อเมริกามี 2 แบบ คือแบบผม หรือไม่ก็แบบ Non Tenure คือจะมาสอนแบบ Visiting ซึ่งข้อแตกต่างคือ ถ้าอยู่ใน Tenure Track ทางมหาวิทยาลัยจะไล่เราไม่ได้ เราอยู่ที่นั่นได้ตลอดชีวิต นอกเสียจากว่าเราเลือกไปที่อื่นเอง

ช่วงนั้นอาจารย์ได้กลับเมืองไทยบ้างหรือเปล่า
ผมจะกลับเมืองไทยช่วงคริสต์มาส กลับมาช่วงต้นธันวาถึงกลางเดือนมกรา ช่วงซัมเมอร์คือพฤษภาก็กลับมาอีกแล้ว ปีนึงนี่อยู่เมืองไทยเกือบ 6 เดือน

ช่วงกลับมาเมืองไทยเพื่อมาพักผ่อนหรือทำอย่างอื่น
กลับมาทำงานครับ เปลี่ยนประเทศแต่ชีวิตเหมือนเดิมเปี๊ยบเลย สอนที่จุฬาฯ ธรรมศาสตร์ นิด้า เอแบค ม.กรุงเทพ หลักสูตร Executive MBA บ้าง International MBA บ้าง บางอันก็เป็น DBA อย่างเช่น Joint DBA นิด้า แล้วก็มี Ph.D. ด้วย คือเขาจะ Schedule ให้ผมเลยว่าต้องทำอะไรบ้าง

ใช้ชีวิตทำงาน 2 ตำแหน่ง 2 ประเทศอยู่นานเท่าไร
เกือบ 5 ปี แต่จริงๆ แล้วอยู่อเมริกาทั้งหมดเกือบ 15 ปี

อาจารย์กลับมาอยู่เมืองไทยเต็มตัวตั้งแต่เมื่อไร
เกือบปีแล้ว ตอนที่จะกลับ ทุกคนถามหมดว่ากลับทำไม ตำแหน่งงานมันมั่นคงมาก ผมก็บอกว่าผมไม่ได้คิดจะอยู่ที่อเมริกาตั้งแต่ต้นแล้ว ผมแค่มา Turn Pro ก็บอกเขาไปตรงๆ อยากไปหาประสบการณ์แล้วก็กลับไปทำงานที่เมืองไทย เขาก็บอกโอเค แต่ในใจคงนึกว่าไม่น่ามา Invest กับผมเลย (หัวเราะ)

ก็เป็นอีกแผนที่วางไว้ให้ตัวเองตั้งแต่ต้น
ใช่ แล้วประกอบกับคุณแม่ผมผ่าตัดหัวใจก็เลยกลับเลย ตอนแรกว่าจะอยู่ต่ออีกสักหน่อย เพราะผมทำธุรกิจร้านอาหารอยู่ที่เซาท์ แคโรไลน่า และพิตส์เบิร์กด้วย

กลับมาประกอบอาชีพอะไร
ก็ไม่ได้ต่างจากเดิม สอนๆๆ คอนซัลท์ๆๆ ตอนนี้ก็สอนลดลงหน่อย ส่วนงานก็เป็น CEO บ้าง COO บ้าง อย่างที่ฟิวเจอร์พาร์ครังสิตนี่ก็คอนซัลท์เขามาหลายเดือนแล้ว ตอนแรกก็มาเฉพาะวันเสาร์ พอโปรเจ็กที่อื่นจบ จึงได้มาทำที่นี่ทุกวัน นอกจากที่นี่ก็คอนซัลท์ให้โอสถสภา ดูโปรดักส์หลายตัวเหมือนกัน หลักๆ ก็ 2 ที่นี้ ที่เหลือก็เป็นจ็อบๆ ไป แล้วก็มีเรื่องงานวิจัยเข้ามาบ้าง

แล้วงานด้านสอน จะสอนควบคู่งานประจำแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ใช่ การสอนถือเป็นเรื่องสำคัญ คนที่มีความรู้ และเรียนสูงควรจะต้องทำ ถือว่าเป็น Social Contribution มันจำเป็นมาก ยิ่งผมมีประสบการณ์ในด้าน Industrial ด้วยแล้ว ทำให้การสอนแอ็คทีฟมากขึ้น ผมจะไม่ทิ้ง

อาจารย์มีสไตล์การสอนแบบไหน
สไตล์การสอนไม่ว่าอยู่ที่ไหนผมจะเป็นแบบเดียวกันหมด คือ Practical มากๆ เริ่มจากเคสจริงๆ แล้วเอาทฤษฎีมาจับ สอนให้เด็กมี Analytical Skill ให้เข้ามี Systematic Approach เพราะปัญหาในธุรกิจมันมีได้ไม่สิ้นสุด และมันไม่มี One Best Solution หรอก แต่มี Several Wrong Answers

ทำไมเลือกที่จะสอนและทำงานคอนซัลท์คู่กัน
ถ้าคุณ สอนอย่างเดียว ปีสองปีนี่หลุดเลย วิชาการมันไม่ทันของจริงหรอก ต้อง Stay Fresh, Stay Current in the Industry ไปด้วย คือต้องทำงานไปด้วย สอนไปด้วย คิดดูกว่าจะเขียนตำราวิชาการเล่มหนึ่ง สองปีใช้เก็บข้อมูล กว่าจะได้พิมพ์อีก พอพิมพ์ออกมาก็เกือบเก่าแล้ว สอนได้ครึ่งปีก็เก่าพอดี มันจึงต้องมาอยู่ใน Industry นำประสบการณ์จากตรงนั้นมาประกอบด้วย แต่ในขณะเดียวกัน พวกที่ทำงานอย่างเดียว ก็จะเป็นแบบไม่อ่านหนังสือ ไม่ขวนขวาย จะเอาแต่ประสบการณ์ตัวเองเป็นหลัก บอกว่าเชื่อประสบการณ์ตัวเอง เพราะเคยทำมาแล้วเวิร์ก แต่ลืมไปว่ามันเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทุกอย่างมันเปลี่ยนหมด แค่เรื่องเทคโนโลยีอย่างเดียวก็เปลี่ยนไปมากแล้ว

บริษัทหลายๆ แห่งเข้ามาหาอาจารย์เอง
ครับ กลับมาอยู่เมืองไทย ผมไม่เคยไปสมัครที่ไหน ผมเองก็ไม่รู้จักใคร เพราะผมอยู่เมืองนอกมานาน มีพรรคพวกเยอะก็จริง แต่ก็ไม่ได้ติดต่อกันนาน ส่วนใหญ่คนก็เห็นผมทำโน่น ทำนี่แล้วก็ติดต่อเข้ามาเอง เราก็ดูว่าตรงกับที่เราต้องการหรือเปล่า เขาก็ดูผม ก็ดูๆ กันทั้ง 2 ฝ่าย

อย่างนี้พกนามบัตรทีละกี่ใบ
ก็มีนามบัตรทั้งตอนทำหลักสูตรต่างๆ นามบัตรของปิยเวช ของที่นี่ (ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต) แล้วก็ Bite Bangkok ของโอสถสภา


นี่ผ่านมาแค่ปีเดียว ปีหน้าไม่ต้องมีนามบัตรเป็น 2 เท่าหรือ
ปีหน้า ผมก็ไม่รู้หรอก เรื่องงานนี่ ผมไม่ได้คาดหวังเรื่องยศ เรื่องตำแหน่งอะไรเลย ยศ ตำแหน่งต่างๆ ที่เรียนมา บอกตรงๆ ว่าไม่อยากได้เลยนะ อยากจะได้ประสบการณ์ ได้ความรู้มากกว่า ผมว่าตรงนั้นสำคัญกว่า เวลาคนเข้ามาคุยกับเรา ทำงานกับเรา เขาก็จะรู้ได้ It doesn’t take long เขาก็จะรู้ว่าเราเป็นอย่างไร แตกต่างกับคนอื่นอย่างไร

ถ้ามีคนมาถามว่าอาจารย์ ทำงานอะไร จะตอบเขาว่าอย่างไร
คุณจะให้ผมตอบงานช่วงไหนล่ะ หรือส่วนมากก็ตอบว่าเป็นงานรับจ้าง เป็นลูกจ้างชั่วคราว

หรือน่าจะถามกลับว่าคุณมีเวลาเท่าไรที่จะฟัง
เอ่อ คุณมีเวลาเท่าไรก็ดี (หัวเราะ)

ที่เล่ามาตั้งแต่ต้น ดูเหมือนอาจารย์ทำงานหนักจนไม่มีวันเสาร์อาทิตย์
วันเสาร์อาทิตย์มีก็ เพียงแต่จะทำอะไรเท่านั้นเอง โดยทั่วไปก็เชิญไปพูด ไปสอน แต่ก็มีช่วงว่าง ว่างเต็มวันก็มีบ้าง ก็โอเคนะ มีเวลาพักผ่อน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ แฮปปี้กับทุกอย่าง

ไม่เคยนั่งนึกใช่ไหมว่านี่เราทำอะไรอยู่
ไม่เคยมีแม้แต่แว้บเดียวเลย ผม Enjoy every single moment นั่งคุยกันอยู่นี่ ผมก็เอนจอย ประชุมเมื่อเช้าก็สนุก ผมว่าทัศนคติตรงนี้สำคัญนะ ตราบใดที่เราคิดแบบนี้ เราก็จะทำอะไรได้ไม่เบื่อ เพราะในที่สุดแล้วชีวิตมันก็ตรงนี้แหละ ไม่ว่าคุณจะทำงานอะไร ตำแหน่งอะไร ยศอะไร ได้เงินแค่ไหน ถ้าคุณไม่เอนจอย อย่าทำดีกว่า คุณทรมานตัวเองอยู่

นอกจากงานคอลัมนิสต์แล้ว อาจารย์มีงานเขียนอย่างอื่นหรือเปล่า
รีเสิร์ชมีมาเรื่อยๆ บริษัทต่างๆ ติดต่อมา เขียนหนังสือก็มีติดต่อมาแต่ไม่มีเวลา เขียนหนังสือเล่มหนึ่งต้องใช้เวลาเยอะนะ แล้วพอเขียนเป็นเล่มมันต้องมีเรื่อง Politic เข้ามาล่ะ ต้องเอาบทนี้ขึ้นก่อน ต้องตามฟอร์แมทที่เขากำหนด มันไม่ใช่แบบที่เราต้องการแล้ว แล้วต้องเลือกหัวข้อที่น่าจะขายดี คือมันจะไม่เป็นตามที่ควรจะเป็น เรื่องที่เรามองว่าสำคัญ แต่ถ้ามันไม่น่าจะขายได้ ก็อาจกลายเป็นแค่บทเล็กๆ ในหนังสือ ผมก็เลยคิดว่าเรื่องนี้เก็บไว้ก่อนดีกว่า

แต่การเขียนหนังสือถือว่าเป็นการให้ประโยชน์กลับสู่สังคมในวงกว้างซึ่งมันเป็นสิ่งที่อาจารย์ตั้งเป้าหมายไว้
ใช่ แต่ก็ต้องดูด้วยว่าคนที่เขาให้ผมเขียน เขาจะให้ Flexibility กับผมแค่ไหน ถ้าให้มาก ผมก็เขียนให้เลย แต่ส่วนมากก็มีกฎเกณฑ์มากมายเหลือเกิน เหมือนเขียนให้เขาเพื่อให้เขาได้กำไร อย่างนั้นจะทำไปทำไม มันไม่ใช่เรื่องของ Contribution เลย

ทราบมาว่าอาจารย์มีบ้านแต่ไม่ได้กลับไปอยู่เลย
ใช่ ก็เสียดายเงินเหมือนกันนะ ผมปลูกบ้านไว้ที่กฤษณานคร ก.ม. 7 บางนา บ้าน 280 ตารางวา 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ ปลูกไว้ก่อนไปอเมริกา ก็ 15-16 ปีแล้ว คนใช้อยู่ตลอด ตัวเองไม่เคยอยู่เลย งานผมก็อยู่แต่ในเมือง ตอนเย็นก็สอนในเมือง 2 อาทิตย์ก็เอาเสื้อกลับไปให้เขาซัก แล้วเอาเสื้อใหม่ใส่รถกลับมานอนคอนโดที่อโศก

เชื่อไหมว่าบ้านหลังนั้นขโมยเข้าปีละ 2-3 หน จนเป็นเรื่องปกติ ตำรวจก็มาจนเบื่อ ตอนหลังก็ทิ้งไว้แต่เฟอร์นิเจอร์ กับโทรทัศน์เครื่องเล็กๆ

อาจารย์นอนวันละกี่ชั่วโมง
ปกติเลย 6-7 ชั่วโมง แต่ก็มีนอนไม่หลับบ้าง เวลางานเครียด

ความที่ตารางงานค่อนข้างแน่นแบบนี้ ถ้าอยากหยุดพักผ่อนไปเที่ยวแบบยาวๆ มันจะเป็นไปได้ไหม
ได้ สบาย เพียงแต่ตอนนี้งานมันยังมาเรื่อยๆ ตอนนี้ก็คิดอยู่เหมือนกันเสาร์ อาทิตย์อยากไปดำน้ำ หรือไปเปลี่ยนที่ เปลี่ยนบรรยากาศ แต่บางทีมันไปคนเดียวไม่สนุกไง ต้องมีเพื่อน แล้วตอนนี้ก็ยังอยู่คนเดียว ส่วนพรรคพวกผมก็อยู่กับครอบครัว จะนัดกันก็ยากหน่อย

อาจารย์ทำธุรกิจส่วนตัวด้วยหรือเปล่า
ตอนนี้ไม่ได้ทำ มีคนถามเยอะนะ ถ้าทำธุรกิจมันเป็นเรื่องของเงิน เรื่อง Profit Maximization แต่ถ้าเป็นคอนซัลแทนท์มันก็อีกแบบหนึ่ง

เอาง่ายๆ ถ้าผมเปิดบริษัทคอนซัลท์กับเป็นคอนซัลแทนท์แบบที่เป็นอยู่ นี่มันต่างกันเลยนะ บริษัทคอนซัลท์ เขาตั้งเพื่อหาเงิน ดังนั้นเขาจะไม่แนะนำอะไรที่ทำให้เขามี Cost หรือ Expense เยอะ เขาจะรักษา Profit เขา ลูกค้าก็แฮปปี้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าเป็นสแตนด์อโลนแบบผม เราทำให้ลูกค้าได้เต็มร้อยเลย ค่าจ้างมันตายตัว ตกลงทำก็คือทำแล้ว

อาจารย์ไม่คิดเรื่องต่อยอดงานที่ทำอยู่
At some points เราต้องเลือกว่าเราอยากเป็นโปรเฟสชันนอลทางด้านไหน ผมถือว่าคนเราต้องมี Principle และตรงนี้ถือว่าเป็นจุดที่แยกคนให้ต่างกันนะ พอคนเติบโตขึ้น รู้มากขึ้น มันมีทางที่จะทำอะไรได้เยอะเลย แต่ถ้าคุณเลือกไปอยู่ในบางจุด มันจะไม่แฟร์กับหลายๆ คน เพราะคุณได้เข้าไปรู้อะไรอินไซด์แล้ว แล้วคุณก็มาแข่งกับเขา มันไม่ดีแน่

เราคอนซัลท์ให้หลายที่ เราเห็นอยู่แล้วว่าช่องทางการทำเงินมาจากไหนบ้าง แต่มันก็เหมือนถ้าเราไปทำ เราไปแข่งกับลูกค้านะ เราเข้ามาให้คำปรึกษาเขา เราเห็นช่องว่าง เห็นจุดอ่อนตั้งหลายอย่าง แล้วเสร็จเรามาเปิดธุรกิจ มา Beat เขา ผมว่ามันต้องมี Business Ethic นะยิ่งผมเป็นอาจารย์ด้วย สอนนักเรียนว่าอย่าทำอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วเราก็ทำเอง มันจะเป็นไงล่ะ

มองว่ามันไปด้วยกันไม่ได้
ใช่ มันไม่ดี ผมว่าถ้าจะอยู่ในตำแหน่งแบบนี้ คลีนดีกว่า ถ้าจะไปทั้งคู่มันไม่ค่อยสวยเท่าไร แล้วผมก็คอนซัลท์ให้หลาย Industry ด้วย กลายเป็นว่าจะทำอะไร ก็กลายเป็นแข่งกับลูกค้าตัวเองไปหมด

ถ้าพูดเรื่องจะทำธุรกิจเอง คงไม่ใช่ทางด้านคอนซัลแทนท์ คงเป็นธุรกิจอย่างอื่นไปเลย แล้วคงต้องมีเวลาไปทุ่มให้มากกว่านี้ ซึ่งผมกลัวว่าบทบาทคอนซัลแทนท์ที่ทำอยู่มันอาจลดลง

ความมุ่งหวังด้านอาชีพของอาจารย์คืออะไร
ผมไม่ได้ต้องการร่ำรวยมหาศาล ผมแค่มีรายได้ระดับหนึ่งที่อยู่ได้ ไม่ใช่จะกิน จะใช้อะไรทีต้องคิดมาก แบบนี้ก็ไม่ใช่ ผมอยากมีงานที่ดี มั่นคง มีการ Contribute ให้กับทั้งสังคม และองค์กรที่ผมทำ งานแบบนี้มันมีค่ากับผมมากกว่าการที่เราคิดถึงเรื่องเงินอย่างเดียว ซึ่งมันก็ย้อนกลับไปตอบว่าทำไมผมถึงไม่ได้เริ่มทำธุรกิจ

1 ความคิดเห็น: